สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ สทนช.
    • ความเป็นมา สทนช.
    • วิสัยทัศน์ / ภารกิจ / ยุทธศาสตร์
      • วิสัยทัศน์
      • ภารกิจ
      • ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
      • ยุทธศาสตร์สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (พ.ศ.2566 – 2570)
      • ยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศ สทนช. เพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (ปี พ.ศ. 2568 – 2570)
    • โครงสร้างองค์กร / บทบาทหน้าที่ / ผู้บริหาร
      • โครงสร้างองค์กร
      • บทบาทหน้าที่
      • ผู้บริหารระดับสูง
      • ผู้บริหาร /เจ้าหน้าที่ สทนช.ภาค1
    • คำรับรองปฏิบัติราชการ 2568
  • คกก.ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.)
    • ความเป็นมา กนช.
    • คำสั่ง
      • แต่งตั้งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.)
      • คำสั่งคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.)แต่งตั้ง
      • แต่งตั้งคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด
      • แต่งตั้งคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการฯ
    • สรุปผลการประชุม
      • คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.)
      • คณะอนุกรรมการฯ
        • ด้านการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ
        • ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
        • ด้านเทคนิคและวิชาการ
        • คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด 76 จังหวัด
        • คณะอนุกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายภาค
        • คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ
      • คณะทำงาน
    • มติ ครม.
      • ผลการประชุม กนช.
      • เรื่องที่เกี่ยวข้อง
      • สรุปมติ ครม. ทั้งหมด
    • ติดตามมติ กนช.
    • คณะกรรมการลุ่มน้ำ
      • รายชื่อคณะกรรมการลุ่มน้ำ
      • มติ คกก.ลุ่มน้ำ
      • ประกาศ คกก.ลุ่มน้ำ
      • หลักเกณฑ์และแนวทางการเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำ
    • หลักเกณฑ์/แนวทางเสนอเรื่องต่อ กนช.
  • กฎหมายน้ำ
    • พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561
    • กฎหมายฉบับรอง
      • พระราชกฤษฎีกา (1 ฉบับ)
      • กฎกระทรวง 3 ฉบับ ซึ่งออกตามความในหมวด 4 การจัดสรรน้ำและการใช้น้ำ
      • กฎกระทรวง (7 ฉบับ+1ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
      • ระเบียบ (2 ฉบับ)
      • ประกาศ (15 ฉบับ)
    • กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
  • ประชาสัมพันธ์ สทนช.1
    • ขั้นตอนการปฏิบัติงานของ สลธ. ในการจัดทำข่าวประชาสัมพันธ์
    • รายงานประจำปี 2567 สทนช.1
    • รายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการผู้แทนคณะกรรมการลุ่มนํ้า ในคณะกรรมการทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ
  • ข่าวสาร/กิจกรรม
    • ข่าวสารประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับองค์กรผู้ใช้น้ำ
    • คู่มือจดทะเบียนก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ
    • เอกสารประกอบการลงทะเบียนองค์กรผู้ใช้น้ำ
    • กิจกรรม
  • แผนแม่บททรัพยากรน้ำ
    • แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรนํ้า 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566 – 2580)
    • แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580)
    • หนังสือ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ’61 และ แผนแม่บท 20 ปี ฉบับ พกพา
  • การขับเคลื่อนองค์กรคุณธรรมและวัตนธรรมองค์กร
    • องค์กรคุณธรรม
      • คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานองค์กรฯ สทนช.1 ปี 2568
      • ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนองค์กรฯ สทนช.1 ปี 2568
      • แผนส่งเสริมขับเคลื่อนคุณธรรม สทนช.1 ปี 2568
      • ประกาศยกย่องให้เป็นหน่วยงานคุณธรรม พ.ศ.2568
    • วัฒนธรรมองค์กร
      • แบบรายงานแผนขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร สทนช.1 ปี 2568 (ไตรมาสที่1)
      • แบบรายงานแผนขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร สทนช. ปี 2568 (ไตรมาสที่1)
      • แบบรายงานแผนขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร สทนช. ปี 2568 (ไตรมาสที่2)
  • บทความ
    • องค์ความรู้
      • บทความเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
  • คู่มือ
    • การขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้
      • การปฏิบัติตามเงื่อนไขการเข้าอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้
      • ขั้นตอนการขออนุญาต
      • เอกสาร ตัวอย่าง โครงการพัฒนาป่าไม้ร่วมกับองค์กรและเครือข่ายแบบบูรณาการ
      • เอกสาร โครงการเพื่อประโยชน์ในการควบคุม ดูแล รักษาหรือบำรุงป่าสงวนแห่งชาติ ตามความในมาตรา๑๙ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
      • บันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำ
      • ขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตและยังไม่ได้ยื่นคำขออนุญาตในระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรี
      • ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม / คู่มือ
    • คู่มือ ศปท.
    • คู่มือองค์กรผู้ใช้น้ำ
    • Ebook ต่างๆ ที่คำสัญ
  • ติดต่อ
  • สทนช. รับข้อสั่งการ “รองนายกฯ ประเสริฐ” เร่งคลี่คลายผลกระทบ “คาจิกิ” ในลุ่มน้ำยม-น่าน ชี้ชัดต้องเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ ป้องกันน้ำล้นกระทบวงกว้าง

    สทนช. หารือหน่วยงานและจังหวัดเร่งบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำยม – น่าน หลังพายุ “คาจิกิ” ส่งผลกระทบหนัก และเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์เป็น 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อรักษาเสถียรภาพเขื่อนและความปลอดภัยของประชาชน โดยจัดการจราจรน้ำให้สอดคล้องกันตลอดเส้นทาง

    วันนี้ (30 สิงหาคม 2568) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำยม – น่าน และการลดผลกระทบจากการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ และการเตรียมความพร้อมกรณีเปิดทางระบายน้ำล้นฉุกเฉิน พร้อมด้วย นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. นายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ สทนช. โดยมีนายสมลักษ์ ยกน้อยวงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย กล่าวต้อนรับ รวมทั้งรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร ผู้แทนจังหวัดในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม – น่าน ศาลากลางจังหวัดสุโขทัย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและการเตรียมความพร้อมรับมือในจังหวัดสุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และพิจิตร ตามลำดับ


    ดร.สุรสีห์ เปิดเผยว่า จากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ต่อเนื่องด้วย พายุ “คาจิกิ” ในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อพื้นที่ลุ่มน้ำยม – น่าน โดยเฉพาะลุ่มน้ำยมที่มีปริมาณน้ำจำนวนมาก นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) จึงได้มอบหมายให้ สทนช. ลงพื้นที่หารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อย่างเร่งด่วน โดยในวันนี้กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) รายงานว่า พายุโซนร้อนบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามในช่วงเย็นวันนี้ ก่อนจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำพัดปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม จะมีฝนตกเพิ่มขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่างและบางส่วนของภาคเหนือตอนบน นอกจากนี้ คาดว่าในเดือนกันยายนจะยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นต่อเนื่องจากร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และยังมีโอกาสที่จะเกิดพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยตอนบนได้ ที่ประชุมจึงได้พิจารณาแนวทางเร่งระบายน้ำออกจากลุ่มน้ำยมภายใน 2 วันนี้ โดยกรมชลประทานจะเพิ่มการระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำคลองหกบาท จาก 300 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที เป็น 380 ลบ.ม. ต่อวินาที โดยปริมาณน้ำจะไหลผ่านไปทางแม่น้ำยมสายเก่าประมาณ 170 ลบ.ม. ต่อวินาที และคลองยม – น่าน 210 ลบ.ม. ต่อวินาที พร้อมทั้งได้เพิ่มการติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่บริเวณประตูระบายน้ำบางแก้ว เพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำยมสายเก่า โดยทั้งหมดจะไหลรวมลงสู่แม่น้ำน่านต่อไป

    ขณะเดียวกัน ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำน่านก็เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำถึงร้อยละ 85 ของความจุเก็บกัก ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการปรับลดการระบายของเขื่อนลงเหลือไม่เกิน 40 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ท้ายน้ำ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องปรับการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ให้เพิ่มขึ้นอยู่ในอัตรา 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เตรียมรองรับน้ำที่จะไหลเข้ามาเพิ่มเพื่อป้องกันความเสี่ยงน้ำล้นและกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวเขื่อน เนื่องจากหากเกิดกรณีดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ทั้งนี้ ให้กรมชลประทานจัดการจราจรน้ำของเขื่อนผาจุก เขื่อนนเรศวร เขื่อนพญาแมน ประตูระบายน้ำมะขามสูง รวมถึงเขื่อนเจ้าพระยาให้สอดคล้องกัน เพื่อสนับสนุนประสิทธิภาพการระบายน้ำของพื้นที่ตอนบนให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งกำชับให้จังหวัดท้ายเขื่อนประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนและเตรียมพร้อมบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อย่างรัดกุม โดยทุกหน่วยงานพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการดำเนินการเชิงป้องกัน การช่วยเหลือขณะเกิดเหตุ และการเยียวยาผู้ประสบภัย ตามนโยบายของรัฐบาล และยืนยันว่าจะมีการปรับการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลามากที่สุด โดยคำนึงถึงปริมาณฝนและมวลน้ำที่ระบายมาจากลุ่มน้ำยม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ด้านท้ายน้ำ

    สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

    30 สิงหาคม 2568

    ictwebadminonwr1

    1 กันยายน 2025
    ข่าวสารประชาสัมพันธ์
  • องนายกฯ ประเสริฐ ห่วงฝนกลางเดือนสิงหาคม ถล่มเหนือ-อีสาน สั่ง สทนช. ด่วน! ระดมทุกหน่วยป้องกันน้ำท่วมลุ่มน้ำยม-น่าน

    🔵⚪️วันนี้ (10 สิงหาคม 2568) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

    เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ครั้งที่ 2/2568 โดยมี นางวิไลวรรณ บุดาสา รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ให้การต้อนรับ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนจังหวัดสุโขทัย จังหวัดลำปาง จังหวัดแพร่ จังหวัดพะเยา จังหวัดพิจิตร จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดนครสวรรค์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดน่าน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน จากนั้นลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อมในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยที่เป็นจุดฟันหลอและคันกั้นน้ำ ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่ผ่านมา ได้แก่ บริเวณชุมชนบ้านหัวเวียง อำเภอเมืองน่าน บริเวณ อบต.ฝายแก้ว อำเภอภูเพียง จุดคันดินขาด ตำบลไหล่น่าน และพื้นที่ลุ่มต่ำตำบลกลางเวียง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน จากการลงพื้นที่ทุกจุด เลขาธิการ สทนช. ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานสำรวจความพร้อมอุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือต่าง ๆ เสริมความมั่นคงแข็งแรงของแนวคันกั้นน้ำ ทั้งในพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่เปราะบาง เช่น โรงพยาบาลน่าน เป็นต้น เพื่อพร้อมรับมือสถานการณ์ฝนที่จะตกมาในช่วงถัดไป

    เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า การลงพื้นที่จังหวัดน่าน และการประชุมคณะทำงานอำนวยการน้ำฯ พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ในวันนี้ สืบเนื่องจาก นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ฝนตกหนักที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงกลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป เนื่องจากเกิดร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้นและเกิดฝนตกหนักบางพื้นที่ในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยจะมีฝนตกเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำของวันที่ 10 สิงหาคม 2568 ครอบคลุมประมาณ 60% ของพื้นที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน และจังหวัดพะเยา จากนั้นฝนจะตกหนักขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคมเป็นต้นไป ครอบคลุมประมาณ 80% ของพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก ตาก พิจิตร เพชรบูรณ์ และกำแพงเพชร ซึ่งอาจทำให้เกิดอุทกภัย น้ำหลาก และดินถล่มได้ ดังนั้น รองนายกฯ ประเสริฐ จึงได้สั่งการให้ สทนช. ลงพื้นที่จังหวัดน่านเพื่อเร่งประชุมคณะทำงานอำนวยการน้ำฯ พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ร่วมหารือแนวทางเชิงป้องกันและเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ รวมถึงติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามข้อสั่งการ ในคราวที่ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ด้วย


    จากการติดตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า สทนช. ได้ร่วมกับกรมชลประทาน (ชป.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาปรับแผนการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน พร้อมเร่งระบายน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณฝนในพื้นที่ลดลง เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณฝนในช่วงถัดไป โดยขณะนี้ เขื่อนสิริกิติ์มีอัตราการระบายน้ำอยู่ที่ 55 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน ซึ่งในเบื้องต้นพบว่าเป็นอัตราการระบายน้ำที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำบางส่วนในจังหวัดอุตรดิตถ์ จึงได้สั่งให้ดำเนินการสำรวจความเสียหายอย่างละเอียด หากพบว่ามีผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนหรือพื้นที่การเกษตรในวงกว้าง จะพิจารณาลดอัตราการระบายน้ำและวางแผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบต่อไป ด้าน ชป. ได้ดำเนินการเสริมคันป้องกันน้ำชั่วคราวในจุดที่เปราะบาง รวมถึงบูรณาการหน่วยงานและจังหวัดติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากจุดที่น้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ประชาชนเสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับการเตรียมพื้นที่หน่วงน้ำตามโครงการ “บางระกำโมเดล” ขณะนี้ ได้เก็บเกี่ยวไปแล้ว 76% คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จตามแผน ในวันที่ 15 สิงหาคม 2568 และจะสามารถใช้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำได้อีกประมาณ 400 ล้าน ลบ.ม.

    “ในวันนี้ที่ประชุมยังได้หารือแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือนให้มีความแม่นยำและทันท่วงทีมากขึ้น

    โดย สทนช. จะบูรณาการร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ชป. และศูนย์ข้อมูลน้ำจังหวัดน่าน จัดทำข้อมูลคาดการณ์ปริมาณฝน พร้อมประเมินวิเคราะห์ปริมาณน้ำท่า เพื่อใช้ประกอบการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานต่างๆ รวมถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ได้ทัน สำหรับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในจังหวัดน่านที่ครอบคลุมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สทนช. จะบูรณาการหน่วยงานดำเนินการตั้งแต่การอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำ เช่น การจัดทำคลองผันน้ำเพื่อเลี่ยงพื้นที่ชุมชน และการเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำของฝายธงน้อย รวมถึงเร่งขับเคลื่อนให้มีแหล่งกักเก็บน้ำเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำน้ำกอน และโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทั้งสองโครงการดำเนินการโดย ชป. ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ และมีแผนดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มความจุกักเก็บน้ำได้ 123,430,000 ลบ.ม. ครอบคลุมพื้นที่รับประโยชน์ 99,100 ไร่ และครัวเรือนได้รับประโยชน์ 23,075 ครัวเรือน โดย สทนช. จะเสนอ กนช.เพื่อพิจารณาเร่งรัดแผนการดำเนินงานให้เร็วขึ้นต่อไป” เลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย

    สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

    10 สิงหาคม 2568

    สทนช. ผนึก กฟผ. ชป. ร่วมวางแผนพร่องระบายน้ำเขื่อนตามแนวแม่น้ำน่านเพิ่มพื้นที่รับน้ำฝนช่วงถัดไป และเน้นย้ำต้องไม่กระทบประชาชนตามข้อสั่งการรองนายกฯ ประเสริฐ

    วันนี้ (11 สิงหาคม 2568) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมการบริหารจัดการน้ำเขื่อนสิริกิติ์ โดยมี นายพชรเสฏฐ์ บุญศิริสาริศา รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ให้การต้อนรับ ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. นายชวลิต กันคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน นางวันเพ็ญ แก้วแกมทอง หัวหน้ากองจัดการทรัพยากรน้ำ นายประสิทธิ์ อุปชิตร ผู้อำนวยการเขื่อนสิริกิติ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นายชวลิต สุราราช ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา สำนักงานชลประทานที่ 3 กรมชลประทาน (ชป.) พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สทนช. กฟผ. และ ชป. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

    เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า การประชุมในวันนี้สืบเนื่องจาก นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ฝนตกหนักที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงกลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน จึงได้สั่งการ สทนช.จัดประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ครั้งที่ 2/2568 ที่ศาลากลางจังหวัดน่าน เมื่อวานนี้ (10 สิงหาคม 2568) โดยที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ ในช่วงเกิดสถานการณ์ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของประเทศไทย จากผลกระทบของพายุโซนร้อน “วิภา” และส่งผลให้เกิดอุทกภัยในหลายจังหวัดในลุ่มน้ำยม-น่าน โดยที่การบริหารจัดการน้ำในขณะนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์กัน จึงให้เขื่อนสิริกิติ์ปรับลดอัตราการระบายน้ำลงเพื่อช่วยหน่วงน้ำในลุ่มน้ำน่านไม่ให้เพิ่มระดับขึ้น และเร่งการระบายน้ำในลุ่มน้ำยมออกสู่แม่น้ำน่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำด้วย ส่งผลให้ขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนสิริกิติ์เพิ่มสูงขึ้น โดยช่วงก่อนเกิดสถานการณ์พายุโซนร้อน “วิภา” เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำที่ 62% ของความจุเก็บกัก แต่ในปัจจุบันมีปริมาณน้ำสูงถึง 84% ของความจุเก็บกัก มีพื้นที่รองรับน้ำได้อีกเพียง 1,500 ล้าน ลบ.ม.

    “การประชุมในวันนี้ สทนช. จึงได้หารือร่วมกับ กฟผ. และ ชป. ในการปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างรองรับน้ำฝนที่จะตกเพิ่มในช่วงถัดไป โดยอัตราการระบายจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนด้วย ซึ่งปัจจุบัน (11 สิงหาคม 2568) เขื่อนสิริกิติ์ มีอัตราการระบายอยู่ที่ 55 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ทั้งนี้ จะต้องบริหารจัดการน้ำในเขื่อนตามแนวแม่น้ำน่านในภาพรวม ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนผาจุก และเขื่อนนเรศวร ให้มีความสมดุลสอดรับกัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำตลอดแนวแม่น้ำน่าน โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับเพิ่มการระบายของเขื่อนนเรศวรตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อช่วยลดระดับน้ำที่เอ่อล้นตลิ่งเข้าพื้นที่การเกษตรบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำบางส่วนในจังหวัดอุตรดิตถ์ นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยส่งน้ำส่วนเกินเข้าสู่พื้นที่ชลประทานด้วย ดังนั้น การระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ ที่อัตรา 55 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ในช่วงนี้ จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน อย่างไรก็ตาม ทุกหน่วยงานจะต้องติดตามสถานการณ์ฝนอย่างใกล้ชิด หากเกิดฝนตกหนักบริเวณท้ายเขื่อนเพิ่มมากขึ้น เขื่อนสิริกิติ์จะต้องพิจารณาปรับลดการระบายลงอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่” เลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย

    สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

    11 สิงหาคม 2568

    ictwebadminonwr1

    13 สิงหาคม 2025
    ข่าวสารประชาสัมพันธ์
  • สทนช. เปิดศูนย์ส่วนหน้าฯ “ลุ่มน้ำยม-น่าน”จับมือทุกหน่วย คุมจราจรน้ำจากเหนือสู่เจ้าพระยาเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

    🔵⚪️สทนช. เปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ระดมทุกหน่วยจัดการจราจรน้ำที่ไหลจากภาคเหนือก่อนลงสู่อ่าวไทยโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ให้เขื่อนสิริกิติ์ปรับลดการระบายช่วงฝนชุกปลายเดือน ก.ค. เพื่อช่วยเร่งระบายน้ำจากลำน้ำยมไปยังลำน้ำน่าน พร้อมเตรียมพื้นที่ “ทุ่งบางระกำ” ช่วยหน่วงน้ำหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว

    วันนี้ (26 กรกฎาคม 2568) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายสมลักษ์ ยกน้อยวงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ให้การต้อนรับ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. ผู้แทนจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดน่าน จังหวัดพิจิตร จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดแพร่ จังหวัดอุตรดิตถ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าฯ จังหวัดสุโขทัย ศาลากลางจังหวัดสุโขทัย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและติดตามการเตรียมความพร้อมในแต่ละจุด ได้แก่ จุดเสริมคันกั้นน้ำ หมู่ที่ 7 ตำบลปากแคว อำเภอเมืองสุโขทัย เขื่อนป้องกันตลิ่งชั่วคราวริมแม่น้ำยม บริเวณสะพานสิริปัญญารัตน์ ตำบลวังใหญ่ อำเภอศรีสำโรง ประตูระบายน้ำคลองหกบาท และประตูระบายน้ำปากคลองตะคร้อ ตำบลป่ากุมเกาะ อำเภอสวรรคโลก และจุดคันกั้นน้ำคลองยม โดยที่จุดนี้ได้มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการเสริมคันดินชั่วคราวป้องกันน้ำให้แล้วเสร็จภายในคืนนี้


    เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า การประชุมคณะทำงานอำนวยการน้ำฯ พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ในวันนี้เป็นการประชุมครั้งแรก เนื่องจากการที่ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “วิภา” ในช่วงนี้ และได้รายงานสถานการณ์เป็นรายวัน ให้นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้รับทราบ ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำที่จะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน จึงสั่งการให้ สทนช. จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน เพื่อบูรณาการกับทุกหน่วยงานทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ร่วมบริหารจัดการน้ำที่จะไหลจากพื้นที่ตอนบนของประเทศลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาโดยลดผลกระทบในแต่ละพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ปริมาณฝนโดยกรมอุตุนิยมวิทยาร่วมกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พบว่า อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลให้มีปริมาณฝนตกหนักบริเวณจังหวัดเชียงราย น่าน และพะเยา โดยมีปริมาณฝนสูงสุดประมาณร้อยละ 70 ของพื้นที่ ระหว่างวันที่ 26 – 28 กรกฎาคม 2568 จากนั้นปริมาณฝนจะลดลงในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม ซึ่งขณะนี้สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ยังไม่น่าเป็นห่วงและมีพื้นที่รองรับปริมาณน้ำฝนที่จะตกลงมาเพิ่มได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือปริมาณน้ำในเขื่อนสิริกิติ์ซึ่งขณะนี้มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 70% มีพื้นที่รองรับปริมาณน้ำได้อีก 2,761 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ปัจจุบันมีการระบายน้ำอยู่ที่ 15 ล้าน ลบ.ม./วัน ซึ่งจะต้องวางแผนการระบายให้สอดคล้องกับปริมาณฝนที่จะตกมาเพิ่มเพื่อไม่ให้น้ำในเขื่อนเกินระดับเก็บกักน้ำสูงสุด ในขณะเดียวกันยังคงต้องให้เขื่อนสิริกิติ์เป็นกลไกสำคัญในการช่วยบริหารจัดการมวลน้ำที่ไหลผ่านลำน้ำยมและลำน้ำน่านด้วย

    จากสถานการณ์ดังกล่าว ที่ประชุมได้ร่วมพิจารณาแผนการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ มีมติเห็นชอบให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ปรับลดการระบายน้ำลงอยู่ที่ 10 ล้าน ลบ.ม./วัน ในช่วงวันที่ 26 – 30 กรกฎาคม 2568 เพื่อช่วยเร่งการระบายน้ำที่ไหลผ่านจากลำน้ำยมไปสู่ลำน้ำน่าน โดยขอให้ทุกหน่วยงานช่วยสนับสนุนการเร่งการระบายน้ำโดยเร็วที่สุด เช่น การติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และเครื่องผลักดันน้ำเพิ่ม เพื่อระบายน้ำไปให้ได้มากที่สุดในช่วง 5 วันนี้ หลังจากนั้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งคาดการณ์ว่าปริมาณฝนลดลง ให้ กฟผ. ปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณฝนที่จะกลับมาอีกในช่วงเดือนกันยายน ซึ่งการปรับแผนการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ในครั้งนี้ ได้ขอให้มีการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยอยู่ท้ายเขื่อนสิริกิติ์ด้วย สำหรับการเตรียมพื้นที่ลุ่มต่ำรองรับน้ำหลาก “โครงการบางระกำโมเดล” พบว่าพื้นที่ปลูกข้าวรวม 327,000 ไร่ ขณะนี้เก็บเกี่ยวไปแล้ว 91,519 ไร่ ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวอีก 235,481 ไร่ ซึ่งมีแผนจะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ก็จะสามารถใช้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำยมได้ในปริมาณ 400 ล้าน ลบ.ม.

    “จากการลงพื้นที่ติดตามปริมาณน้ำในแต่ละจุด พบว่า ได้เตรียมการบริหารจัดการมวลน้ำที่คาดว่าจะมาสูงสุดในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ โดยระบายน้ำส่วนหนึ่งผ่านคลองยม – น่าน และแม่น้ำยมสายเก่า และอีกส่วนระบายผ่านประตูระบายน้ำหาดสะพานจันทร์ แม่น้ำยมสายหลัก เพื่อควบคุมปริมาณน้ำที่จะผ่านตัวเมืองสุโขทัยให้อยู่ในระดับไม่เกิน 500 ลบ.ม./วินาที ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจเมืองสุโขทัย อย่างไรก็ตาม การประชุมในวันนี้พบว่าหน่วยงานในพื้นที่ทุกจังหวัดมีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่และเข้มแข็ง ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมการรองรับก่อนเกิดสถานการณ์ การบริหารจัดการในระหว่างเกิดสถานการณ์ ไปจนถึงการช่วยเหลือและฟื้นฟูเยียวยาหลังสถานการณ์ ทั้งนี้ ได้ขอให้แต่ละจังหวัดสะท้อนจุดอ่อนจากการทำงานให้กับที่ประชุม เพื่อเตรียมการขับเคลื่อนและพัฒนาประสิทธิภาพการรับมือสถานการณ์อุทกภัยในอนาคตต่อไป” เลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย

    สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

    26 กรกฎาคม 2568

    ictwebadminonwr1

    31 กรกฎาคม 2025
    ข่าวสารประชาสัมพันธ์
  • ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 7/2568

    🔵⚪️วันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 2/2568 โดยมี นายชัยพจน์ จรูญพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ผู้แทนจังหวัดหนองคาย จังหวัดสกลนคร จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดนครพนม จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดอุดรธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าฯ จังหวัดหนองคาย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดย เลขาธิการ สทนช. และคณะผู้บริหารได้เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์ จากศาลากลางจังหวัดเชียงราย จากนั้นในช่วงบ่าย ได้เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 7/2568 โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ นายนพฤทธิ์ ศิริโกศล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นายทวี เสริมภักดีกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ผู้แทนจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพะเยา จังหวัดพิจิตร จังหวัดน่าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ก่อนลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการขุดลอกแม่น้ำสาย และติดตามสถานการณ์ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยบริเวณอำเภอแม่สาย ได้แก่ สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 และพื้นที่ตำบลเกาะช้าง ตามลำดับ


    เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า ขณะนี้ทุกภาคของประเทศไทยมีปริมาณฝนมาก โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 22–25 กรกฎาคม ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “วิภา” ทำให้มีแนวโน้มฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ของภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ชายขอบของภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งอันดามัน และจะยังมีฝนตกต่อเนื่องบริเวณประเทศไทยตอนบนในช่วงหลังจากนั้น ในวันนี้จึงได้ประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าฯ ในพื้นที่ 2 ลุ่มน้ำ ที่มีความเสี่ยงเกิดสถานการณ์อุทกภัย เพื่อบูรณาการบริหารจัดการน้ำร่วมกับหน่วยงานและจังหวัด เตรียมความพร้อมรับมือเพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด โดยได้มีการประเมินสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำต่าง ๆ ในพื้นที่เสี่ยงโดยใช้ข้อมูลพยากรณ์ฝนล่วงหน้า เพื่อปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลามากที่สุด ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์ในแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ พบว่า ปัจจุบันแม่น้ำสายมีระดับน้ำสูงในบางจุด ซึ่งแม้ขณะนี้ประเทศไทยจะดำเนินการขุดลอกแม่น้ำสายและสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวแล้วเสร็จ แต่การขุดลอกบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำสายซึ่งเป็นภารกิจของฝั่งประเทศเมียนมายังคงมีความคืบหน้าไม่มากนัก ทำให้มีความเสี่ยงที่มวลน้ำจะไหลหลากเข้าสู่พื้นที่อำเภอแม่สายได้ จึงกำชับหน่วยงานให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะบริเวณสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นจุดที่มีความเสี่ยงสูง โดยได้รับการสนับสนุนการติดตั้งกำแพงป้องกันน้ำ (Water Wall) บนสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา แห่งที่ 1 จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และประสานงานกับกองทัพบกและกรมการทหารช่างเตรียมวางกระสอบทรายขนาดใหญ่ (Big Bag) และเครื่องจักรเครื่องมือไว้บนสะพานเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ พร้อมตรวจสอบซ่อมแซมและเสริมพนังกั้นน้ำในจุดที่ชำรุดเสียหายให้เร็วที่สุด

    “จากการประชุมในวันนี้ เป็นที่น่าชื่นชมว่าแต่ละจังหวัดต่างได้เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ไว้อย่างเต็มที่ ทำให้ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและแผนการเตรียมความพร้อม รวมถึงการประสานช่วยเหลือทรัพยากรเครื่องมือต่าง ๆ กรณีต้องใช้ร่วมกัน ทั้งนี้ หากเกิดกรณีที่ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งเตือนประชาชนเตรียมยกของขึ้นที่สูง รวมทั้งเน้นย้ำในเรื่องการดูแลและอพยพกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก ไปยังพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์น้ำหลากจากอิทธิพลของพายุจะเริ่มคลี่คลายลงหลังวันที่ 25 กรกฎาคม นี้ สำหรับสถานการณ์แม่น้ำโขง ขณะนี้อยู่ในภาวะปกติ แต่จากคาดการณ์ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง 5 วันล่วงหน้า พบว่า ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปริมาณฝนที่ตกในลุ่มน้ำ แต่ยังคงต่ำกว่าระดับตลิ่ง ซึ่งจะมีการติดตามเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง สทนช. ได้ประสานงานร่วมกับ สปป.ลาว ผ่านคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานงานด้านอุทกภัยและโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำช่วยลดผลกระทบต่อประชาชนริมฝั่งโขง รวมถึงในวันนี้ได้หารือการบริหารจัดการน้ำในหนองหารซึ่งมีปริมาณน้ำเกิน 100% โดยให้เร่งพร่องน้ำในระยะนี้ก่อนที่ความสามารถในการระบายน้ำจะลดลงในช่วงที่ระดับน้ำในแม่น้ำโขงหนุนสูง เพื่อช่วยลดผลกระทบให้แก่จังหวัดสกลนคร และจังหวัดนครพนม สำหรับแม่น้ำกกและแม่น้ำอิง ขณะนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกัน” ดร.สุรสีห์ กล่าว

    เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า อิทธิพลของร่องมรสุมจะยังส่งผลให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกต่อเนื่องในช่วงวันที่ 28-30 กรกฎาคม รวมถึงในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นอย่างมากในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน จึงยังต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ โดยศูนย์ส่วนหน้าฯ จะมีการประชุมเพื่อบูรณาการข้อมูลและบริหารจัดการมวลน้ำในพื้นที่จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยจะมีการใช้ข้อมูลจากเรดาร์ฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อระบุพิกัดพื้นที่ที่มีฝนตกและปริมาณฝนได้อย่างแม่นยำ สามารถแจ้งเตือนประชาชนได้ทันท่วงที ขณะเดียวกัน ได้ประสานกับสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร

    ที่ถูกต้องไปยังประชาชนและสื่อมวลชนผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างทั่วถึงด้วย

    ictwebadminonwr1

    31 กรกฎาคม 2025
    ข่าวสารประชาสัมพันธ์
  • สทนช.1 ได้รับเกียรติจากกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ เพื่อเข้าร่วมหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำ ของพื้นที่ภาคเหนือ และจังหวัดเชียงใหม่

    🔵⚪️วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 นายอนันต์ เพ็ชร์หนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 พร้อมด้วย นางสาวดาวประกาย เรือนเงิน ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานลุ่มน้ำปิง นายธีระ วงศ์ใหญ่ ผู้อำนวยการกลุ่มวิชาการและบริหารจัดการน้ำ และนางสาวธัญญารัตน์ เอี่ยมปลัด ผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายและแผนลุ่มน้ำ เข้าพบ นายเฉิน ไห่ผิง กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ ตามคำเชิญเพื่อหารือ อภิปราย แนวทางการบริหารจัดการน้ำของพื้นที่ภาคเหนือ และจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการรับมือในห้วงฤดูฝน ปี 2568 และเยี่ยมชมสถานกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่


    🔹🔸โดยทางสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 ได้นำเสนอข้อมูล ประกอบด้วย

    1. การคาดการณ์ปริมาณฝนปี 2568 ในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงการเปรียบเทียบกับปริมาณฝนตกจริงในปี 2567

    2. ข้อมูล สาเหตุ การเกิดอุทกภัยของจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2567 การถอดบทเรียนอุทกภัย และนำไปสู่การได้รับการจัดสรรงบประมาณในระยะเร่งด่วน ในการขุดลอกแม่น้ำปิง และการปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำแม่น้ำปิง (ฝายหินทิ้ง 3 ฝาย) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์

    ที่อาจเกิดขึ้นในปี 2568 ควบคู่กับการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568

    ทั้งนี้ กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 ที่ได้สร้างคุณประโยชน์อย่างมากมายให้กับจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคณะสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 ทำให้รับรู้ได้ถึงมิตรภาพที่ดีระหว่างประเทศจีนและประเทศไทย

    ictwebadminonwr1

    15 กรกฎาคม 2025
    ข่าวสารประชาสัมพันธ์
  • สทนช.1 เข้าร่วมการศึกษาดูงานของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ เรื่อง ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณของโครงการในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

    🔵⚪️วันที่ 11 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.30 น. นายอนันต์ เพ็ชร์หนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 พร้อมด้วย นางสาวดาวประกาย เรือนเงิน ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานลุ่มน้ำปิง และเจ้าหน้าที่กลุ่มประสานงานลุ่มน้ำปิง เข้าร่วมการศึกษาดูงานของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ เรื่อง ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณของโครงการในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 3 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ผู้แทนหัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ และประชาชนที่เกี่ยวข้อง


    🔹🔸 โดย สทนช.1 ได้นำเสนอข้อมูลการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 – 2569 และงบกลางลุ่มน้ำปิง เพื่อป้องกันการเกิดอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่แก่ที่ประชุม และในช่วงบ่าย ร่วมลงพื้นที่ศึกษาดูงานการดำเนินโครงการขุดลอกแม่น้ำปิงเพื่อป้องกันอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 3 จุด ณ บริเวณฝายพญาคำ อนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ และบริเวณตำบลสันผีเสื้อ 🔹🔸

    ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะให้ สทนช. ในฐานะหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ บูรณาการแผนงาน/โครงการ และบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการขุดลอกแม่น้ำปิง ผ่านกลไกของคณะกรรมการลุ่มน้ำปิงต่อไป

    ictwebadminonwr1

    15 กรกฎาคม 2025
    ข่าวสารประชาสัมพันธ์
  • สทนช.1 ลงพื้นที่ติดตาม การดำเนินงานตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 / พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม ในพื้นที่ อำเภอบ่อเกลือ และ อำเภอปัว จังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ 8 – 9 กรกฎาคม 2568


    🔸🔹วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม 2568 นายอนันต์ เพ็ชร์หนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 และเจ้าหน้าที่ สทนช.1 ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 และการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่ม ณ อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอปัว จังหวัดน่าน พร้อมด้วยหน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

    โดยที่ประชุมได้เน้นให้ทุกภาคส่วน ติดตาม 9 มาตรการรับมือฤดูอย่างใกล้ชิดและพร้อมจะเข้าแก้ปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ เทศบาลบ่อเกลือใต้ จัดเตรียมข้อมูลโครงการให้มีความพร้อมเพื่อนำเสนอเข้าระบบ TWP และจัดเตรียมเอกสารขออนุญาตใช้พื้นที่ให้มีความพร้อม ดังนี้

    – โครงการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโดยใช้กล่องเกเบี้ยน (gabion) เพื่อป้องกันดินโคลนถล่ม บริเวณ ห้วยลีม หมู่ 4 และบริเวณบ้านนาขวาง หมูที่ 5 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากดินโคลนถล่ม ระยะทางทั้งสิ้น 200 เมตร ตำบลบ่อเกลือใต้ อำเภอบ่อเกลือใต้ จังหวัดน่าน

    – มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรธรณี ดำเนินการสำรวจและติดตั้งระบบแจ้งเตือนดินโคลนถล่มบริเวณหมู่ที่ 2 บ้านหางทางหลวง ตำบลภูฟ้า

    ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรธรณีติดตามความคืบหน้าโครงการการติดตั้งเครื่องมือเเจ้งเตือนน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มในพื้นที่ตำบลบ่อเกลือทุกตำบล พร้อมกันนี้ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเตรียมการและเฝ้าตระหนักถึงชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้งและบูรณาการในการทำงานร่วมกันต่อไป

    🔸🔹วันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568 นายอนันต์ เพ็ชร์หนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 และเจ้าหน้าที่ สทนช.1 ติดตามการดำเนินงานตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 และการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่ม ณ อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอปัว จังหวัดน่าน พร้อมด้วยหน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ

    โดยที่ประชุมได้เน้นให้ทุกภาคส่วน เร่งดำเนินการตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน และพร้อมเข้าแก้ปัญหาอุทกภัย และดินโคลนถล่ม โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ องค์การบริหารส่วนตำบลภูคา ประสานไปยังกรมพัฒนาที่ดินเพื่อขอรับ การสนับสนุนหญ้าแฝกเพื่อนำมาปลูกยังบริเวณพื้นที่ลาดชัน เพื่อป้องกันหน้าดินสไลด์และให้มีการจัดเตรียมข้อมูลโครงการ ให้มีความพร้อมเพื่อนำเสนอเข้าระบบ Thai Water plan และจัดเตรียม เอกสารขออนุญาตใช้พื้นที่ให้มีความพร้อม ดังนี้

    – โครงการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโดยใช้กล่องเกเบี้ยน (gabion) เพื่อป้องกันน้ำหลากกัดเซาะพื้นที่ บริเวณห้วยน้ำดั้น หมู่ 4

    – โครงการที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งสถานีโทรมาตร และระบบแจ้งเตือนภัย (Early Warning System) บริเวณบ้านเต๋ย ห้วยงอน หมู่ที่ 10 บ้านกอก หมู่ที่ 11 บ้านน้ำปัวพัฒนา หมู่ที่ 12

    ทั้งนี้ได้ทดสอบการทำงานของระบบแจ้งเตือนภัย (Early Warning System) ในพื้นที่บ้านน้ำดั้น หมู่ 13 และมอบหมายให้ กรมทรัพยากรน้ำเฝ้าตรวจติดตามการทำงานของเครื่องมือให้มีประสิทธิภาพและสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการซักซ้อมการใช้งานระบบแจ้งเตือนให้กับผู้รู้ในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบความพร้อม

    พร้อมกันนี้ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเตรียมการและเฝ้าตระหนักถึงชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้งและบูรณาการในการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

    ictwebadminonwr1

    14 กรกฎาคม 2025
    ข่าวสารประชาสัมพันธ์
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม / ตำบลไผ่ท่าโพ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร

    🔵⚪️วันที่ 30 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม / ตำบลไผ่ท่าโพ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร


    วันที่ 30 มิถุนายน 2568 นายอนันต์ เพ็ชร์หนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 และเจ้าหน้าที่ สทนช.1 ลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย นายอำเภอสามง่าม นายอำเภอโพธิ์ประทับช้าง สำนักงานป้องกันและบรรเทาสารณภัยจังหวัดพิจิตร สำนักงานชลประทานที่ 3 โครงการชลประทานพิจิตร สำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 3 โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาวังบัว สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 9 สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพิษณุโลก สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดพิจิตร สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดพิจิตร สำนักงานเกษตรจังหวัดพิจิตร สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพิจิตร ผู้แทนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลรังนก

    ติดตามการดำเนินงานมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ตามมาตรการที่ 3 เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ โทรมาตร บุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยง ให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลากและฝนทิ้งช่วง มาตรการที่ 4 ตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่งคง ปลอดภัย คันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ และมาตรการที่ 5 เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ ในพื้นที่ลุ่มน้ำยม ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับฟังสถานการณ์น้ำในพื้นที่ และเตรียมการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำ พร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัย ปี 2568 โดยทางสำนักงานกรมชลประทานที่ 3 โครงการชลประทานพิจิตร โครงการส่งน้ำและบํารุงรักษาวังบัว สํานักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 3 ได้เตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนตามมาตรการฤดูฝน ปี 2568 และได้สรุปความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำยม โดยโครงการประตูระบายน้ำท่าแหและโครงการประตูระบายน้ำท่านางงาม ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ โครงการประตูระบายน้ำวังจิกได้ดำเนินการไปแล้ว 60 เปอร์เซ็นต์คาดว่าจะแล้วเสร็จ ปี 2569 และประตูระบายน้ำโพธิ์ประทับช้างได้ดำเนินการไปแล้ว 60 เปอร์เซ็นต์คาดว่าจะแล้วเสร็จ ปี 2570 รวมถึงรับฟังสภาพปัญหาในพื้นที่ตำบลรังนก เรื่องการระบายน้ำผ่านคลองรังนก เนื่องจากพบปัญหาตลิ่งคลองระบายน้ำด้านเหนือน้ำมีระดับสูงกว่าตลิ่งด้านกลาง-ท้ายน้ำ ประมาณ 1 เมตร ทำให้คลองระบายน้ำช่วงกลาง-ท้ายน้ำ ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ และล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่การเกษตร รวมถึงประตูระบายน้ำคลองรังนกมีขนาดเล็กไม่เพียงพอต่อปริมาณน้ำที่ระบาย ทำให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างล่าช้าส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรของประชาชนในพื้นที่ในช่วงฤดูน้ำหลาก

    ในการนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 สำนักงานกรมชลประทานที่ 3 โครงการชลประทานพิจิตร องค์การบริหารส่วนตำบลรังนก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมบูรณาการบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ รวมทั้งติดตามสถานการณ์น้ำและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำยมอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนการบริหารจัดการเบื้องต้น ดังนี้

    1. ระยะเร่งด่วน

    – องค์การบริหารส่วนตำบลรังนก กลุ่มผู้ใช้น้ำ สำนักงานกรมชลประทานที่ 3 และโครงการชลประทานพิจิตร ร่วมวางแผนการใช้น้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูฝน ปี 2568 และเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เป็นไปตามแผนก่อนฤดูน้ำหลาก พร้อมทั้งเว้นช่วงการเพาะปลูก

    – กรมชลประทานจัดเตรียมความพร้อมในการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และเครื่องจักร ในการเตรียมสูบระบายน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตให้แล้วเสร็จก่อนฤดูน้ำหลากใน เดือน สิงหาคม 2568

    – สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพิจิตร และสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 9 จัดเตรียมความพร้อม เครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ ให้การสนับสนุนตามที่ร้องขอ

    2. ระยะกลาง และระยะยาว

    – องค์การบริหารส่วนตำบลรังนก สำรวจ ออกแบบ และวางแผนงานโครงการขุดลอก เสริมคันกั้นน้ำ คลองรังนก และคลองวังกระทิง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายในช่วงฤดูน้ำหลาก และเก็บกักน้ำในช่วงฤดูแล้ง

    – โครงการส่งน้ำและบํารุงรักษาวังบัว และโครงการชลประทานพิจิตร ดำเนินการสำรวจ ออกแบบ และวางแผนงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ การเสริมคันกั้นน้ำ การก่อสร้างประตูระบายน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำอย่างเป็นระบบเพื่อรองรับน้ำหลาก

    – องค์การบริหารส่วนตำบลรังนก ประสานขอความอนุเคราะห์ ทางหลวงชนบทจังหวัดพิจิตร พิจารณาก่อสร้างโครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือ ท่อลอดเหลี่ยมคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำคลองรังนก บริเวณทางหลวงชนบท สาย พจ. 3002 หมู่ 3 ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร

    📍 ทั้งนี้ หน่วยงานในพื้นที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมเชิงป้องกันและบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อรองรับน้ำหลาก และลดผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำยม

    วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 นายอนันต์ เพ็ชร์หนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 และเจ้าหน้าที่ สทนช.1 พร้อมด้วยหน่วยงานสำนักงานชลประทานที่ 3 โครงการชลประทานพิจิตร และสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 3 ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ตามมาตรการที่ 3 เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ โทรมาตร บุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยง ให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลากและฝนทิ้งช่วง พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนล่าง เพื่อเตรียมความพร้อมบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำในพื้นที่ตำบลไผ่ท่าโพ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร ณ ประตูระบายน้ำโพธิ์ประทับช้าง ตำบลไผ่ท่าโพ และประตูระบายน้ำบ้านวังจิก ตำบลวังจิก อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร

    1. โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำโพธิ์ประทับช้าง ตำบลไผ่ท่าโพ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร แผนการดำเนินงาน ปี พ.ศ. 2564 – 2570 ลักษณะโครงการ ประตูระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก จำนวน 5 ช่อง ความสูงของอาคาร 14.00 เมตร ความกว้าง 74.00 เมตร พร้อมอาคารประกอบ ผลการดำเนินงานปัจจุบัน 60% ล่าช้ากว่าแผน เนื่องจากในปี 2568 ฤดูฝนมาเร็วกว่าปกติ ทำให้ต้องเร่งการระบายน้ำ ส่งผลต่อการก่อสร้างงานป้องกันการกัดเซาะตลิ่งล่าช้ากว่าแผน โดยสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 3 ได้เร่งรัดการดำเนินงาน และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งจะสามารถเก็บกักน้ำ รวม 5.10 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 28,863 ไร่

    2. โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านวังจิก ตำบลวังจิก อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร แผนการดำเนินงาน ปี พ.ศ. 2568 – 2569 ลักษณะโครงการ ประตูระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก จำนวน 5 ช่อง ความสูงของอาคาร 12.50 เมตร ความกว้าง 74.00 เมตร พร้อมก่อสร้างอาคารประกอบ ผลการดำเนินงานปัจจุบัน 60% เป็นไปตามแผน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2569 ซึ่งจะสามารถเก็บกักน้ำ รวม 6.17 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 37,397 ไร่ ทั้งนี้ สทนช. 1 ได้ติดตามและเร่งรัดให้สำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 3 ดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนและวัตถุประสงค์ของโครงการ พร้อมทั้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่วางโครงการพัฒนาแก้มลิง ปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพประตูระบายน้ำ และเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มผู้ใช้น้ำ เพื่อให้สามารถรองรับการบริหารจัดการน้ำได้เต็มศักยภาพ

    ictwebadminonwr1

    4 กรกฎาคม 2025
    ข่าวสารประชาสัมพันธ์
  • สทนช. ลงพื้นที่เพื่อติดตามความก้าวหน้า การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและคุณภาพน้ำในพื้นที่ จังหวัดลำปาง พะเยา และเชียงราย

    🔵⚪️วันที่ 20 มิถุนายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำเขื่อนกิ่วลม-กิ่วคอหมา โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ จังหวัดลำปาง กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมประชาสัมพันธ์ หน่วยงานท้องถิ่น เป็นต้น เข้าร่วมประชุม ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม-กิ่วคอหมา อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง


    ในการลงพื้นที่จังหวัดลำปาง เพื่อหารือร่วมกับหน่วยงานเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น ทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและผลการคาดการณ์ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด

    ทั้งนี้ ได้กำชับให้หน่วยงานต่างๆ ปรับแผนการระบายน้ำเพื่อเร่งการระบายน้ำก่อนเข้าสู่ช่วงที่มีฝนตกหนักสะสมในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม โดยให้อยู่ในเกณฑ์ความจุไม่เกิน 80% ของความจุอ่าง เพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับรองรับน้ำหลาก ซึ่งจะช่วยลดการเร่งระบายน้ำในช่วงที่มีฝนตกหนัก สามารถบรรเทาผลกระทบและ ลดความเสียหายบริเวณพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตามมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และเตรียมแนวทางการแก้ไขหากเกิดกรณีฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า อาทิ การจัดเตรียมทีมเจ้าหน้าที่และอะไหล่สำรองที่จำเป็นสำหรับการซ่อมบำรุงเครื่องมือให้พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งจัดเตรียมแผนสำรองในการใช้สถานีเตือนภัยล่วงหน้าข้างเคียง สำหรับใช้ติดตามพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อแจ้งเตือนสถานการณ์ให้กับประชาชนในพื้นที่รับทราบได้อย่างทันท่วงที

    วันที่ 21 มิถุนายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำกว๊านพะเยาและการเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัย โดยมี นายบำรุง สังข์ขาว รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมทรัพยากรน้ำ กรมประมง กรมอุตุนิยมวิทยา กรมประชาสัมพันธ์ หน่วยงานท้องถิ่น เป็นต้น เข้าร่วมประชุม ณ โครงการชลประทานจังหวัดพะเยา อำเภอเมืองพะเยา หลังจากนั้น ลงพื้นที่ติดตามจุดเสี่ยงอุทกภัย ได้แก่ บริเวณโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ, ประตูประมงกว๊านพะเยา อำเภอเมืองพะเยา และฝายแม่อิงลูกที่ 2 (ฝายดอกบัว) พร้อมระบบส่งน้ำ หมู่ที่ 6 ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมืองพะเยา ตามลำดับ

    เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า จากการประชุมหารือร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ในวันนี้ เพื่อร่วมประเมินสถานการณ์น้ำ ปี 2568 พบว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคมนี้ จังหวัดพะเยามีแนวโน้มจะมีฝนตกหนักต่อเนื่องใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ปัจจุบันจังหวัดพะเยา มีอ่างเก็บน้ำรวม 456 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 87.13 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 49% ของความจุเก็บกัก โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กหลายแห่งที่ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์มากกว่า 70% ได้แก่ อ่างเก็บน้ำแม่ต๋ำ อ่างเก็บน้ำแม่ใจ อ่างเก็บน้ำแม่จุน อ่างเก็บน้ำห้วยแม่ตุ้ม อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำแวน และอ่างเก็บน้ำแม่นาเรือ นอกจากนี้ กว๊านพะเยา มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 19.8 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 36% ของความจุเก็บกัก ซึ่งคาดการณ์ว่าช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม จะมีปริมาณน้ำไหลเข้ากว๊านพะเยา ประมาณ 400 ล้าน ลบ.ม. ส่งผลให้กว๊านพะเยาจะมีปริมาณน้ำเกินความจุเก็บกัก จึงจำเป็นต้องเร่งให้ทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำพร่องน้ำของอ่างเก็บน้ำต่างๆ และกว๊านพะเยา โดยการเร่งระบายน้ำเพื่อให้มีพื้นที่ว่างเพียงพอสำหรับรองรับน้ำหลากช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม พร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น

    “ปัจจุบันแหล่งน้ำบริเวณกว๊านพะเยา ถึงแม้จะมีระดับน้ำต่ำกว่าระดับน้ำเก็บกักก็ตาม เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเร่งพร่องน้ำออกจากกว๊านพะเยา รวมทั้งหนองเล็งทราย อ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กในพื้นที่จังหวัดพะเยา เนื่องจากปริมาณน้ำในแม่น้ำอิงยังมีปริมาณไม่มาก เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณน้ำในช่วงที่เกิดฝนตกหนัก ทำให้สามารถช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ท้ายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นการบริหารจัดการน้ำร่วมกันในภาพรวม จากหนองเล็งทราย กว๊านพะเยา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำอิง จากนั้นน้ำจากกว๊านพะเยาจะไหลลงสู่แม่น้ำอิง ผ่านอำเภอต่างๆ ในจังหวัดพะเยาและจังหวัดเชียงราย ตามลำดับ ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย การบริหารจัดการน้ำดังกล่าว นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนริมกว๊านพะเยาที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำล้นตลิ่งแล้ว ยังจะเป็นการช่วยลดผลกระทบให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่อยู่บริเวณท้ายน้ำแม่น้ำอิงได้อีกด้วย ทั้งนี้อ่างเก็บน้ำและประตูระบายน้ำจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงฤดูฝน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยให้เหลือน้อยที่สุด และเพื่อให้ช่วงต้นฤดูแล้ง ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 จะสามารถเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำหรืออ่างเก็บน้ำไว้ให้มากที่สุดหรือเต็มความจุเก็บกัก เพื่อสามารถใช้ได้อย่างเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้งถัดไปด้วย” เลขาธิการ สทนช. กล่าว

    เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับจังหวัดพะเยาได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัย ตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างดีเยี่ยมแล้ว ทั้งเรื่องของการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ การจัดเตรียมพื้นที่สำหรับศูนย์พักพิง ซึ่งเป็นการดำเนินการเชิงรุกในการเตรียมแผนอพยพสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ เด็กหรือผู้สูงอายุ ให้ออกจากพื้นที่เสี่ยงมายังศูนย์พักพิงก่อน รวมทั้งด้านเครื่องจักรเครื่องมือในพื้นที่ก็ได้มีการเตรียมความพร้อมเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ได้ให้คำแนะนำเรื่องการซ่อมแซมสถานีโทรมาตรและอาคารชลศาสตร์ที่ยังไม่พร้อมใช้งาน โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้ทันก่อนเกิดฝนตกหนัก รวมทั้งการติดตั้งจุดสถานีตรวจวัดน้ำเพิ่มเติม โดย สทนช. ได้ประสานสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เพื่อติดตั้งสถานีตรวจวัดน้ำบริเวณพื้นที่ต้นน้ำเพื่อให้มีข้อมูลเพิ่มเติมในการแจ้งเตือนภัยให้กับประชาชนได้ทันสถานการณ์ สำหรับสิ่งกีดขวางทางน้ำของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ได้มีการเปิดช่องเพื่อระบายน้ำเรียบร้อยแล้ว พร้อมรับมือฤดูฝนปีนี้ ทั้งนี้ สทนช. จะประสานจังหวัดและหน่วยงานต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการในการชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้สามารถดำเนินการในเชิงป้องกันได้ล่วงหน้า และสามารถลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    วันที่ 22 มิถุนายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 3/2568 โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพะเยา มณฑลทหารบกที่ 37 กรมการทหารช่าง กรมอุตุนิยมวิทยา กรมประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมทรัพยากรน้ำ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) การประปาส่วนภูมิภาค กรมทางหลวงชนบท กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และคณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือ เข้าร่วมประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นช่วงบ่าย ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำแม่น้ำกก บริเวณหาดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย พร้อมติดตามความก้าวหน้าการขุดลอกแม่น้ำสาย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 และการก่อสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร รวมถึงปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำสาย อำเภอแม่สาย และพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยบริเวณคันกั้นน้ำและถนนทางหลวงชนบทที่ชำรุดในตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ตามลำดับ

    เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า สทนช. บูรณาการร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาและ สสน. เพื่อวิเคราะห์ คาดการณ์และประเมินแนวโน้มปริมาณน้ำฝน น้ำท่า น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มหรือน้ำล้นตลิ่งในปี 2568 โดยพบว่า จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบภัย เนื่องจากปีที่ผ่านมาได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ มีน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม มีตะกอนดินทับถมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ตลอดลำน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกมีความตื้นเขิน ประกอบกับในช่วงต้นฤดูฝนปีนี้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอเมืองแม่สายไปแล้ว 2 ครั้ง ดังนั้น การตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ที่จังหวัดเชียงราย จึงมีความสำคัญในการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบริหารจัดการเชิงป้องกันล่วงหน้า โดยเฉพาะการประเมิน คาดการณ์ ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงล่วงหน้า และสามารถป้องกันภัยได้ตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ

    “การรับมือสถานการณ์ฝนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงเหนือในปีนี้ สทนช. ได้ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ปริมาณฝนในพื้นที่ของเมียนมา ล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการบริหารจัดการน้ำและแจ้งเตือนภัยให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้เข้าไปดำเนินการในเชิงป้องกันให้ทันก่อนเกิดเหตุ เนื่องจากระบบโทรมาตรที่เป็นเครื่องมือในการแจ้งเตือนระดับน้ำล้นตลิ่งของไทยเป็นการแจ้งเตือนล่วงหน้าในระยะเวลาสั้นๆ อาจไม่ทันต่อสถานการณ์ สำหรับความก้าวหน้าการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวกนั้น ในส่วนของแม่น้ำสายซึ่งเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ จึงเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างไทยและเมียนมา โดยในช่วงต้นแม่น้ำสายจะเป็นภารกิจการขุดลอกที่ดำเนินการโดยเมียนมา ขณะนี้ดำเนินการไปแล้วเพียงบางส่วน นอกจากนี้ สทนช. ได้ติดตามการดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมชั่วคราว-กึ่งถาวรในพื้นที่เขตเศรษฐกิจของอำเภอแม่สายที่เคยได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งในระหว่างการขุดลอกยังไม่แล้วเสร็จทำให้ประสิทธิภาพในการระบายน้ำของแม่น้ำสายยังไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งนี้ ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าฯ จะทำงานควบคู่ไปกับกองทัพบก โดยการประเมินปริมาณฝน แนวโน้มฝนและปริมาณน้ำที่จะไหลมาตามลำน้ำ หากมีแนวโน้มที่จะล้นตลิ่งเข้ามาท่วมในพื้นที่อำเภอแม่สาย จะให้คำแนะนำชี้เป้าจุดเสริมกระสอบทรายขนาดใหญ่ (Big Bag) หรือจุดติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาผลกระทบที่ชาวแม่สายจะได้รับให้เหลือน้อยที่สุด” เลขาธิการ สทนช. กล่าว

    สำหรับความก้าวหน้าการขุดลอกแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นภารกิจของฝ่ายไทยโดยกองทัพบก มีผลการดำเนินการเป็นไปตามแผน คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนมิถุนายนหรือกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ในส่วนการขุดลอกแม่น้ำกกที่ดำเนินการโดยกรมชลประทาน สทนช. จะเร่งประสานติดตามการจัดสรรงบประมาณและการดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อช่วยรับมือสถานการณ์ตลอดฤดูฝนปีนี้ นอกจากนี้ ทางจังหวัดเชียงรายได้สะท้อนถึงความจำเป็นในการติดตั้งเครื่องดูดโคลนเพิ่มเติม เนื่องจากมีจำนวนไม่เพียงพอและเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในพื้นที่ หากต้นน้ำมีปริมาณน้ำไหลหลากจะมาพร้อมกับดินโคลนไหลลงมาสะสมในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้ สทนช. จะเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลเพื่อดำเนินการต่อไป

    “ในวันนี้ได้รับทราบข้อมูลในการเตรียมความพร้อมของจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งได้เตรียมความพร้อมตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างครอบคลุมและรัดกุมแล้ว ทั้งนี้ ต้องขอชื่นชม “จังหวัดเชียงราย” ถือเป็นต้นแบบในการบูรณาการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านน้ำของประเทศ ทั้งในเชิงป้องกันก่อนเกิดภัย และด้านปฏิบัติการในระหว่างเกิดภัย รวมทั้งได้ขยายผลการบริหารจัดการน้ำไปยังพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะการระดมความคิดในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในพื้นที่จากทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกันอย่างแท้จริง ทั้งภาคราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันการศึกษา นักวิจัยและนักวิชาการ จนนำไปสู่กระบวนการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนที่เข้มแข็งในระดับชุมชนหรือพื้นที่เสี่ยง ซึ่งเป็นกระบอกเสียงในการแจ้งเตือนภัย ลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับหน่วยงานภาครัฐ ทำให้การสื่อสารแจ้งเตือนภัยสามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง” เลขาธิการ สทนช. กล่าว

    ictwebadminonwr1

    23 มิถุนายน 2025
    ข่าวสารประชาสัมพันธ์
  • สทนช.1 ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนกรณีโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแม่เหียะน้อย

    🔵⚪️วันที่ 13 มิถุนายน 2568 นายอนันต์ เพ็ชร์หนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 พร้อมด้วย นายทรงเกียรติ ขำทอง วิศวกรชลประทานชำนาญการพิเศษ รักษาการตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารจัดการลุ่มน้ำ นายนิธิเดช มากเกตุ ผู้อำนวยการกลุ่มพื้นที่เฉพาะและโครงการสำคัญ และเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนกรณีโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแม่เหียะน้อย พร้อมระบบส่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระยะ 2 การสร้างพนังกั้นลำน้ำแม่เหียะ และการมีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำแนวเขตลำน้ำแม่เหียะตอนบน ณ ห้องประชุมสำนักงานเทศบาลเมืองแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และลงพื้นที่ร่วมกับ นายประหยัด จตุพรพิทักษ์กุล สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้แทนกรมทรัพยากรน้ำ ผู้แทนกรมป่าไม้ ผู้แทนกรมอุทยานฯ เทศบาลเมืองแม่เหียะ และผู้นำชุมชนในพื้นที่


    สืบเนื่องจาก คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวุฒิสภา ได้ส่งเรื่องร้องเรียน กรณีขอให้ตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง และลงพื้นที่โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแม่เหียะน้อย พร้อมระบบส่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริระยะ 2 ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งการสร้างพนังกั้นลำน้ำแม่เหียะ ของเทศบาลเมืองแม่เหียะ และการมีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำแนวเขตลำน้ำ น้ำแม่เหียะตอนบน ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ – ปุย โดยสันนิษฐานว่ามีผลทำให้น้ำหลากเข้าท่วมพื้นที่ชุมชน หมู่ที่ 2 หมู่ที่ 3 หมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 5 ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ รวมถึงพื้นที่บางส่วนของตำบลสันผักหวาน อำเภอหางดง และตำบลป่าแดด อำเภอเมืองเชียงใหม่ ในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา

    โดย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และตอบข้อซักถามในที่ประชุม และที่ประชุมได้มอบหมายให้

    (1) กรมทรัพยากรน้ำ ดำเนินการจัดเวทีสร้างการรับรู้ ชี้แจงและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่โดยรอบ รวมถึงจัดทำแผนรับมือความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุอุทกภัย

    (2) สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ดำเนินการตรวจสอบสำรวจเขตพื้นที่รุกล้ำในเขตอุทยาน รวมถึงการรังวัด โดยควรให้ผู้นำท้องที่ร่วมลงพื้นที่สำรวจด้วย

    (3) เทศบาลเมืองแม่เหียะ ดำเนินการตรวจสอบแนวเขตลำน้ำเดิมตลอดลำน้ำแม่เหียะ โดยร่วมดำเนินการกับฝ่ายปกครองอำเภอและสำนักงานที่ดินจังหวัด และทำการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงโครงสร้างของพนังกั้นน้ำ (คสล.) ตลอดลำน้ำแม่เหียะในเขตเทศบาล รวมทั้งให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำลำห้วยแม่เหียะ

    ทั้งนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 จะจัดทำรายงานข้อเท็จจริงกรณีร้องเรียนดังกล่าว ถึงคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวุฒิสภาต่อไป

    ictwebadminonwr1

    16 มิถุนายน 2025
    ข่าวสารประชาสัมพันธ์
1 2 3 … 53
Next Page

©2024 All rights reserved.

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 2

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 3

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 4

  • Facebook
  • YouTube
  • X