“รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงปัญหาอุทกภัยจังหวัดเชียงใหม่
สั่งเร่งขุดลอกเพิ่มความจุลำน้ำปิงและปรับปรุงฝายเดิมในลำน้ำ เตรียมรับมือฤดูฝนปีหน้า
“รองนายกฯ ประเสริฐ” ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามเร่งรัดขุดลอกลำน้ำปิงบริเวณตัวเมืองเชียงใหม่ เพิ่มความจุเตรียมรับปริมาณน้ำให้ทันฤดูฝนปีหน้า พร้อมให้เร่งปรับปรุงฝายที่สร้างไว้เดิมในลำน้ำ จำนวน 3 แห่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ป้องกันอุทกภัยให้ชาวเชียงใหม่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
วันนี้ (30 พ.ย. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้ติดตามแนวทางการขุดลอกลำน้ำปิง ณ สะพานนวรัฐ ถนนเจริญเมือง ตำบลช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ก่อนเดินทางไปติดตามแนวทางการปรับปรุงฝายท่าศาลา (พญาคำ) ตำบลวัดเกต อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตามลำดับ
รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงฤดูฝนปีนี้ พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มีปริมาณฝนตกหนักมากบริเวณต้นน้ำของลำน้ำปิง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบกับการบุกรุกลำน้ำ การเปลี่ยนแปลงของสภาพลำน้ำและสิ่งกีดขวางทางน้ำ รวมถึงการขยายตัวของพื้นที่ชุมชนเมืองโดยไม่คำนึงถึงเส้นทางน้ำ ส่งผลให้จังหวัดเชียงใหม่ประสบอุทกภัยถึง 3 ครั้ง ซึ่งในช่วงที่เกิดเหตุครั้งแรกและครั้งล่าสุด บริเวณสถานี P.1 (สะพานนวรัฐ) มีระดับน้ำสูงกว่าตลิ่ง 1.60 เมตร อีกทั้งในครั้งล่าสุด ปริมาณน้ำในลำน้ำปิงบริเวณตัวเมืองเชียงใหม่มีมากถึง 656 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที ในขณะที่ลำน้ำปิงสามารถรองรับปริมาณน้ำได้เพียง 400 ลบ.ม. ต่อวินาที จึงทำให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ พื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัย ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ในวันนี้จึงได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามและเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ตามที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมาย โดยปัจจุบันกรมเจ้าท่าได้ดำเนินการด้านวิศวกรรมในการสำรวจลำน้ำปิงเรียบร้อยแล้ว และให้หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาเร่งดำเนินการขุดลอกลำน้ำปิงต่อไป ในส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ให้อำนวยความสะดวกในการหาจุดขึ้นดินและสถานที่ทิ้งดิน ซึ่งเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค. 68 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรองรับฤดูฝนที่จะมาถึงในปีถัดไป
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการสำรวจทางด้านวิศวกรรม เพื่อปรับปรุงฝายเดิมที่เป็นฝายหินทิ้งในลำน้ำปิง จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ฝายท่าศาลา (ฝายพญาคำ) ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล ให้สามารถระบายน้ำได้เต็มประสิทธิภาพ และในระยะกลาง ให้ดำเนินการปรับปรุงพนังป้องกันตลิ่งด้านท้ายน้ำฝั่งซ้ายของประตูระบายน้ำในลำน้ำปิง (ประตูระบายน้ำท่าวังตาล) เพื่อป้องกันน้ำเข้าท่วมเขตชุมชน โดยให้กรมเจ้าท่าพิจารณาอำนวยความสะดวกในการดำเนินการปรับปรุงฝาย รวมทั้งให้จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับกรมชลประทานและกรมเจ้าท่า สร้างการรับรู้และทำความเข้าใจกับประชาชนโดยรอบบริเวณฝาย เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการบริหารจัดการฝาย โดยได้เน้นย้ำเรื่องการมีส่วนร่วมของภาครัฐและประชาชนในพื้นที่ในขั้นตอนการดำเนินการ เพื่อร่วมกันบริหารจัดการน้ำทั้งในช่วงฤดูฝนและฤดูแล้งให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ด้าน เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันลำน้ำปิงประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพทางน้ำและสภาพการใช้ที่ดิน ทำให้พฤติกรรมการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งในขนาดของพื้นที่น้ำท่วม ระดับความลึกของน้ำท่วม และลำดับการเข้าท่วมก่อน – หลัง แตกต่างจากอดีตที่เคยทำสถิติไว้ จึงต้องดำเนินการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหา โดยขุดลอกลำน้ำปิงบริเวณตัวเมืองเป็นลำดับแรก และในระยะหลังจากนี้จะดำเนินการขุดลอกบริเวณตอนบนและตอนล่างของลำน้ำปิงต่อไป ในส่วนของฝายหินทิ้งในลำน้ำปิง 3 แห่ง ที่ได้มีการก่อสร้างตั้งแต่ราว พ.ศ. 1800 – 1839 เพื่อส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่การเกษตร รวมประมาณ 20,300 ไร่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งปรับปรุงฝายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการน้ำ โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนตามที่รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ รวมถึงดำเนินการตามข้อสั่งการที่ได้รับอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยให้ชาวเชียงใหม่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
30 พฤศจิกายน 2567