
-
การประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำปิง ครั้งที่ 8/2567
วันที่ 15 ตุลาคม 2567 เวลา 09.30 น. นายอนันต์ เพ็ชร์หนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 พร้อมด้วย นายธีระ วงศ์ใหญ่ ผู้อำนวยการกลุ่มวิชาการและบริหารจัดการน้ำ และ นางสาวดาวประกาย เรือนเงิน ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานลุ่มน้ำปิง ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเลขานุการฯ โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำปิง ครั้งที่ 8/2567 มีคณะกรรมการฯ และผู้เข้าร่วมประชุม รวม 75 คน

ที่ประชุมรับทราบ สถานการณ์น้ำ และการคาดการณ์ รวมถึงสภาพปัญหาและการแก้ไขฝ่ายดอยน้อย อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งร่วมกันพิจารณา(1) การถอดบทเรียนอุทกภัย ปี ๒๕๖๗ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ – ลำพูน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจของคณะทำงานฯ โดยให้เพิ่มเติมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ เทศบาลนครเชียงใหม่ อบต.หนองแฝก อ.สารภี จ.เชียงใหม่, ทต.อุโมงค์ อ.เมือง จ.ลำพูน, สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จ.เชียงใหม่และลำพูน สำนักงานที่ดิน จ.เชียงใหม่และลำพูน, สำนักงานทางหลวงที่ 1 (เชียงใหม่), สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 10, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเขต 1 (ภาคเหนือ) จังหวัดเชียงใหม่ และให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานถอดบทเรียนในระดับลุ่มน้ำสาขา ผ่านกลไกของคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน(2) การขออนุญาตใช้น้ำประเภทที่สองจำนวน 6 ราย ของกรมชลประทานโดยคณะอนุกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำปิง ได้พิจารณาให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการลุ่มน้ำปิงไว้แล้ว ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำปิง มีมติเห็นชอบคำขออนุญาตใช้น้ำทั้ง 6 ราย พร้อมทั้งมอบหมายผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 เป็นผู้ส่งหนังสือแจ้งผลการพิจารณาและแนบมติที่ประชุมให้กรมชลประทาน เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดต่อไปนอกจากนั้น ในวาระอื่น ๆ ที่ประชุมมีมติ(1) ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการจัดทำสรุปมติ/ข้อสั่งการ แจ้งไปยังสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 1 ดำเนินการสำรวจลำน้ำปิงทั้งสาย เพื่อนำไปสู่การพิจารณาหาแหล่งงบประมาณในการขุดลอกแม่น้ำปิงบริเวณที่จำเป็นเร่งด่วนต่อไป(2) รับทราบหลักเกณฑ์แนวทางการจัดทำแผนงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568

-
“พื้นที่สูง” จำเลยหรือโอกาสในการพัฒนา

เมื่อวิกฤติแบบนี้เกิดขึ้น หลายครั้งที่พื้นที่สูงถูกมองว่าเป็นต้นต่อสำคัญที่ทำให้ป่าไม้หายไป เกิด อุทกภัย หรือบ่อเกิดของฝุ่นควัน PM 2.5
สถานการณ์บนพื้นที่สูงมีความซับซ้อนอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เช่น ป่าไม้ ต้นน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ และยังเป็นที่ตั้งของชุมชนชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตเฉพาะ มีทางเลือกในการหาเลี้ยงชีพที่ค่อนข้างจำกัด อยู่ห่างไกลจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และต้องพึ่งพาทรัพยากรรอบตัวสูง
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เดินทางขึ้นเขาขึ้นดอยไปลงพื้นที่และสัมภาษณ์องค์กรและบุคคลที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาบนพื้นที่สูงในหลายจังหวัด รวมถึงเชียงราย น่าน เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน รวมแล้วกว่า 20 พื้นที่ ได้เห็นว่า การพัฒนาพื้นที่สูงเป็นภารกิจที่ท้าทาย เนื่องจากต้องคำนึงถึงทั้งการยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน
เส้นทางการพัฒนานี้สามารถแบ่งออกได้อย่างน้อย 3 รูปแบบ หรือ 3 ฉากทัศน์ที่เราเห็นได้ในปัจจุบัน
ฉากทัศน์แรก เป็นภาพในฝันของการเติบโตอย่างยั่งยืน พื้นที่สูงสามารถเติบโตทางเศรษฐกิจพร้อมกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในการพัฒนาการเกษตรและการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ทั้งในด้านอาหารและพลังงาน โดยใช้พลังงานหมุนเวียน และมีการจัดการน้ำและป่าไม้ที่ยั่งยืน
การเกษตรในพื้นที่สูงเน้นเกษตรอินทรีย์ วนเกษตรและการผลิตพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น กาแฟ ชา และผลไม้เขตหนาวที่ปลูกในสภาพแวดล้อมที่สะอาดปลอดภัย ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้าน
ขณะเดียวกัน ก็ยังรักษาทรัพยากรธรรมชาติและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศซึ่งช่วยส่งเสริมให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยที่ชุมชนมีบทบาทสำคัญในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวและควบคุมไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชน
ฉากทัศน์ที่ 2 การเติบโตอย่างรวดเร็วแต่ไม่ยั่งยืน ซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่สูงของประเทศไทยที่เต็มไปด้วยการท่องเที่ยวที่แออัดและรีสอร์ท การพัฒนาแบบนี้เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น การเกษตรเชิงพาณิชย์ การท่องเที่ยว หรือการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้า
แม้เศรษฐกิจจะเติบโตในระยะเริ่มต้น แต่ในระยะยาว การพัฒนานี้กลับทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างรุนแรง
ฉากทัศน์ที่ 3 เศรษฐกิจซบเซาและสิ่งแวดล้อมถูกทำลายอย่างรุนแรง ภาพที่เห็นในบางพื้นที่ มีซากต้นข้าวโพดที่ถูกเผาทำลายพื้นดินบนภูเขาและเขาหัวโล้นสะท้อนถึงการเกษตรเชิงพาณิชย์ที่พึ่งพาสารเคมีสูงและการจัดการทรัพยากรที่ไม่ยั่งยืน ปัญหาที่เกิดขึ้นได้แก่ การชะล้างดิน การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการเผาป่าที่ทำให้เกิดหมอกควัน
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ประชากรในพื้นที่สูงยังคงยากจนและลูกหลานต้องย้ายถิ่นฐานไปทำงานในเมืองหรือต่างประเทศ ส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่นเสื่อมโทรมทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม
การพัฒนาพื้นที่สูงในประเทศไทยจึงจำเป็นต้องหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การรักษาสิ่งแวดล้อม และการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น แม้ว่าการพัฒนาแบบเร่งรีบอาจให้ผลประโยชน์ในระยะสั้น แต่ผลกระทบระยะยาวอาจรุนแรงเกินกว่าจะแก้ไขได้
การพัฒนาพื้นที่สูง ให้ยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจร่วมกันถึงบทบาทของพื้นที่สูงต่อทั้งประเทศ การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ชุมชนท้องถิ่น และภาคเอกชนจะเป็นทางออกสำคัญในการสร้างอนาคตที่ทุกภาคส่วนสามารถเติบโตไปพร้อมกัน ไม่เพียงแต่ในด้านเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงการรักษาทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าสำหรับคนรุ่นต่อไป
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ เราไม่ควรเพียงแค่การหาผู้รับผิดชอบ แต่ร่วมกันมองให้ลึกถึงต้นตอของปัญหา และทำงานร่วมกันเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืน ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ชุมชนในพื้นที่สูงจะไม่เป็นจำเลยอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นโอกาสและความหวังที่ช่วยฟื้นฟูทั้งชุมชนและสิ่งแวดล้อมของประเทศให้ยั่งยืน
เครดิต www.bangkokbiznews.com/news/new-update/1149088
-
จังหวัดเชียงราย

ไฮไลท์
- วัดร่องขุ่น
- พิพิธภัณฑ์บ้านดำ
- ภูชี้ดาว
- ไร่ชาฉุยฟง
- ตลาดแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก
เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย ซึ่งอบอวลไปด้วยบรรยากาศของเทือกเขาที่สลับซับซ้อนและวัฒนธรรมล้านนาอันทรงคุณค่า โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ วัดร่องขุ่น ซึ่งออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสีขาวอันวิจิตรตระการตา ตลอดจนวัดมิ่งเมือง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของเชียงราย วัดร่องเสือเต้น วัดห้วยปลากั้ง และพิพิธภัณฑ์บ้านดำซึ่งเป็นสถานที่รวบรวมผลงานทางศิลปะของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ส่วนใครที่ชอบท่องเที่ยวสายธรรมชาติก็สามารถขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นเหนือริมโขงและทะเลหมอกในยามเช้าได้ที่ดอยผาตั้ง สัมผัสความหนาวฉ่ำพร้อมชมวิวทะเลหมอกแบบ 360 องศาที่ภูชี้ดาว เยือนไร่ชาฉุยฟง ชมดอกไม้เมืองหนาวที่สวนแม่ฟ้าหลวงรอบพระตำหนักดอยตุง หรือย้อนรอยเหตุการณ์ “13 หมูป่าติดถ้ำ” ที่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน นอกจากนี้ ด้วยความที่เชียงรายเป็นจังหวัดที่อยู่ตรงบริเวณรอยต่อระหว่างไทย พม่า และลาว นักท่องเที่ยวจึงสามารถชมวิวทิวทัศน์ของสองฝั่งโขงได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ และเที่ยวตลาดแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก บริเวณชายแดนไทย-พม่าได้อีกด้วย
-
จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ไฮไลท์
- กองแลนหรือปายแคนยอน
- หมู่บ้านรักไทยจีนยูนนานและหมู่บ้านสันติชล
- สะพานซูตองเป้
- ปางอุ๋ง
- วัดพระธาตุดอยกองมู
จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้รับสมญานามว่าเป็น “เมืองสามหมอก” เนื่องจากมีภูมิประเทศที่รายล้อมด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน จึงมีอากาศเย็นสบายและมีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี
สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตแห่งหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่เป็นที่นิยมทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติคืออำเภอปาย ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและธรรมชาติที่สวยงาม ภายในอำเภอปายมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ โป่งน้ำร้อนไทรงามปาย กองแลนหรือปายแคนยอน และจุดชมวิวหยุนไหลที่สามารถมองไปเห็นทัศนียภาพที่สวยงามและมีกิมมิกเป็นระเบียงสำหรับคล้องกุญแจ
อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนคือร่องรอยของวัฒนธรรมจีนฮ่อที่ยังหลงเหลืออยู่ในดินแดนไทยและเปิดให้ผู้คนได้เข้าไปสัมผัส ดังเช่นที่พบได้ในหมู่บ้านรักไทยจีนยูนนานและหมู่บ้านสันติชล
ส่วนใครที่ชื่นชอบธรรมชาติ ต้องไม่พลาดไปชมดอกบัวตองบานสะพรั่งที่ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอในช่วงเดือนพฤศจิกายน และดื่มด่ำไอหมอกสุดโรแมนติกเหนือทะเลสาบที่ปางอุ๋ง
นอกจากนี้ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการสร้างสะพานพาดผ่านทุ่งนา จนกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ได้แก่ สะพานซูตองเป้ ซึ่งเป็นสะพานไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย และสะพานบุญโขกู้โส่
เมื่อเดินทางเข้ามาในตัวเมือง นักท่องเที่ยวจะได้พบกับวัดพระธาตุดอยกองมู ซึ่งเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดดเด่นด้วยเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญประดับลายปูนปั้น และที่ตั้งจากบนยอดดอยที่สามารถมองลงมาเห็นวิวมุมกว้างของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน อีกทั้งยังเป็นสถานที่จัดงานประเพณีสำคัญของจังหวัด อย่างเช่นการตักบาตรดาวดึงส์และงานลอยกระทงสวรรค์
-
จังหวัดน่าน

ไฮไลท์
- ชมภาพกระซิบรักบันลือโลก “ปู่ม่าน ย่าม่าน” ที่วัดภูมินทร์
- สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านแบบดั้งเดิมที่อำเภอปัวและชุมชนบ่อเกลือ
- วัดพระธาตุแช่แห้ง
- ดอยเสมอดาว
- เสาดินนาน้อย
มาถึงจังหวัดน่านทั้งที ต้องไปเยือนวัดภูมินทร์เพื่อชมจิตรกรรม “ปู่ม่าน ย่าม่าน” ซึ่งเป็นภาพหญิงชายชาวไทลื้อสมัยโบราณอันทรงคุณค่าและมีเอกลักษณ์จนได้รับการขนานนามว่าเป็นภาพกระซิบรักบันลือโลก ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ซึ่งภายในจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุของถิ่นล้านนา ส่วนด้านหน้าอาคารมีซุ้มต้นลีลาวดีขึ้นเป็นแถวแผ่ขยายกิ่งก้านโค้งเข้าหากันเป็นอุโมงค์ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาแวะชมความสวยงามและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
นอกจากนี้จังหวัดน่านยังมีวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร วัดพระธาตุเขาน้อย และวัดพระธาตุแช่แห้ง ที่ล้วนแล้วแต่เป็นปูชนียสถานสำคัญที่ควรค่าแก่การไปชมด้วยตาของตัวเอง
ด้านสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในจังหวัดน่านก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นดอยเสมอดาวในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน และอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ซึ่งเหมาะสำหรับกิจกรรมกางเต็นท์นอนดูดาวยามค่ำคืนและตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
ส่วนใครที่ชอบท่องเที่ยวแนวอันซีน จังหวัดน่านก็มีสถานที่ที่น่าสนใจ ได้แก่ วังศิลาแลง ซึ่งเป็นซอกหินผาที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเกิดเป็นลวดลายริ้วสวยงาม รวมไปถึงอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของจังหวัดอย่าง เสาดินนาน้อย หรือที่เรียกกันในภาษาท้องถิ่นว่า “ฮ่อมจ๊อม”
หรือหากใครต้องการสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านแบบดั้งเดิม ที่จังหวัดน่านก็มีอำเภอเล็ก ๆ ที่เงียบสงบและโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอย่างอำเภอปัวและชุมชนบ่อเกลือ ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปได้สัมผัส
เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะเลือกเที่ยวแบบไหน เสน่ห์ของเมืองน่านก็จะทำให้คุณหลงใหลตรึงใจไปอีกนาน
จังหวัดน่านแบ่งการปกครองออกเป็น 15 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองน่าน อำเภอเวียงสา อำเภอสันติสุข อำเภอแม่จริม อำเภอท่าวังผา อำเภอบ้านหลวง อำเภอนาน้อย อำเภอปัว อำเภอสองแคว อำเภอเชียงกลาง อำเภอนาหมื่น อำเภอทุ่งช้าง อำเภอบ่อเกลือ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และอำเภอภูเพียง
-
แผนที่ครอบคลุม 6 ลุ่มน้ำ

- (01) ลุ่มน้ำสาละวิน
- (02) ลุ่มน้ำโขงเหนือ
- (06) ลุ่มน้ำปิง
- (07) ลุ่มน้ำวัง
- (08) ลุ่มน้ำยม
- (09) ลุ่มน้ำน่าน


